The Descent Curse of Di Renjie (2025)

รีวิวหนังเรื่อง The Descent Curse of Di Renjie (2025)

The Descent Curse of Di Renjie (2025) ตี๋เหรินเจี๋ยกับเวทย์ขจัดมารราชวงศ์ถังที่รุ่งเรือง เมืองหลวงฉางอันถือเป็นศูนย์กลางแห่งอำนาจ ความมั่งคั่ง และวัฒนธรรมอันงดงาม ทว่าความสงบสุขกลับถูกบดบังด้วยเหตุการณ์ประหลาด ผู้คนล้มตายอย่างไร้สาเหตุในยามค่ำคืน ศพที่พบมีร่องรอยบิดเบี้ยวผิดธรรมชาติ ราวกับถูกพลังลึกลับกัดกินวิญญาณไป เหตุการณ์เหล่านี้ทำให้ผู้คนหวาดผวา เชื่อว่ามี ปีศาจและคำสาปดำ แฝงตัวอยู่ในเมืองหลวง

จักรพรรดินีอู่เจ๋อตี้จึงไม่อาจนิ่งเฉย เพราะหากปล่อยให้ข่าวลือแพร่สะพัด ความเชื่อมั่นในราชสำนักจะสั่นคลอน นางจึงตัดสินใจเรียก ตี๋เหรินเจี๋ย (Di Renjie) ขุนนางหนุ่มผู้มีสติปัญญาเฉียบแหลมและความสามารถในการสืบสวนไขคดีซับซ้อน ให้เข้ามาคลี่คลายปริศนาครั้งนี้ แม้จะรู้ดีว่าเบื้องหลังอาจเกี่ยวพันกับพลังมืดที่เกินกว่ามนุษย์ธรรมดาจะรับมือได้

เรื่องเริ่มต้นด้วยฉากบรรยากาศยามค่ำคืนถนนในฉางอันเงียบสงัดได้ยินเพียงเสียงลมพัดแผ่วๆ ขุนนางระดับสูงผู้หนึ่งถูกพบเป็นศพในจวนของตนเอง ร่างกายเหี่ยวแห้งราวกับถูกสูบพลังชีวิตไปหมดบนพื้นปรากฏสัญลักษณ์ประหลาดคล้ายวงเวทย์โบราณ เลือดที่หยดกระจายเป็นรูปแบบซับซ้อนราวกับพิธีกรรม ข่าวลือแพร่ไปอย่างรวดเร็ว ประชาชนเริ่มกล่าวขานถึง “คำสาปของปีศาจใต้บาดาล” เล่ากันว่าวิญญาณร้ายจากโลกเบื้องล่างกำลังกลับมาแก้แค้นผู้คนในเมืองหลวง ตี๋เหรินเจี๋ยถูกเรียกเข้าเฝ้า เขารับบัญชาจักรพรรดินีด้วยความสงบ แต่ลึกๆ รู้ดีว่านี่ไม่ใช่เพียงคดีฆาตกรรมธรรมดา ระหว่างทางเขาได้พบกับซุ่นเอ๋อร์หญิงสาวนักบวชผู้ศึกษาวิชาเวทย์ขาว เธอได้รับนิมิตเตือนว่า “พลังดำกำลังจะกลืนเมือง” ทั้งสองจึงร่วมมือกันตั้งแต่แรกเริ่ม การสืบสวนเบื้องต้นทำให้ตี๋เหรินเจี๋ยพบว่า ทุกเหยื่อที่ถูกสังหารล้วนเกี่ยวข้องกับราชสำนัก และแต่ละคนต่างมีความลับที่พยายามปกปิด ราวกับใครบางคนกำลัง “กวาดล้าง” คนกลุ่มหนึ่งทีละราย

เมื่อสืบต่อไป ตี๋เหรินเจี๋ยพบเอกสารโบราณที่กล่าวถึง “เวทย์สาปจุติ” พิธีกรรมต้องใช้ชีวิตของผู้ทรงอำนาจเพื่อปลุกวิญญาณอสูรจากใต้พิภพขึ้นมา หากสำเร็จ อสูรจะสามารถครอบงำราชวงศ์ได้ทั้งหมด เบาะแสนำไปสู่การค้นหาความจริงในเขตชานเมือง เขาและซุ่นเอ๋อร์แอบเข้าไปในสุสานโบราณที่ถูกห้ามแตะต้องมานานหลายร้อยปี ภายในเต็มไปด้วยสัญลักษณ์เวทย์มนตร์ดำที่ยังคงแผ่พลังอาฆาต เมื่อไฟคบเพลิงสะท้อนเงา พวกเขาได้เห็นภาพนิมิตของหญิงสาวชุดดำผู้เป็นร่างทรงของปีศาจ การสืบสวนครั้งนี้ไม่เพียงแต่ต้องเจอกับอำนาจลี้ลับ ยังต้องต่อสู้กับ ฝ่ายการเมืองในราชสำนัก ที่ไม่ต้องการให้ความจริงเปิดเผย ตี๋เหรินเจี๋ยถูกขุนนางบางกลุ่มใส่ร้ายว่าบ่อนทำลายความมั่นคง และถูกส่งนักฆ่ามาดักทำร้ายหลายครั้ง แต่เขาก็รอดมาได้ด้วยปัญญาและความสามารถในการต่อสู้

เบาะแสทั้งหมดเริ่มชี้ไปยังอ๋องผู้มีอำนาจญาติใกล้ชิดของราชวงศ์ ผู้ซึ่งสูญเสียตำแหน่งและแค้นเคืองต่อจักรพรรดินี เขาได้หันไปพึ่งพาเวทย์มนตร์ดำ เพื่อใช้คำสาปปลุกวิญญาณอสูรขึ้นมาทำลายเมืองหลวงและทวงบัลลังก์คืน ในค่ำคืนพระจันทร์ดับอ๋องผู้นี้ทำพิธีใหญ่ใต้ดินใต้พระราชวังเก่าแก่ ดวงตะเกียงนับพันส่องสว่างพร้อมเสียงสวดมนตร์ดำสะท้อนก้อง มวลพลังมืดพวยพุ่งขึ้นจนสั่นสะเทือนพื้นดิน วิญญาณอสูรเริ่มเผยกายเป็นเงาดำมหึมา ตี๋เหรินเจี๋ยและซุ่นเอ๋อร์บุกเข้าไปขัดขวาง การต่อสู้เป็นไปอย่างดุเดือด ทั้งอาวุธจริงและพลังเวทย์มนตร์ถูกใช้ปะทะกันอย่างรุนแรง ซุ่นเอ๋อร์ใช้เวทย์ขาวสร้างเกราะคุ้มครอง แต่ถูกพลังมืดโจมตีจนบาดเจ็บสาหัส ตี๋เหรินเจี๋ยต้องต่อสู้ทั้งกับอ๋องและวิญญาณอสูรที่กำลังจะจุติ

ในห้วงวิกฤตตี๋เหรินเจี๋ยหวนคิดถึงคำสอนเก่าที่อาจารย์เคยฝากไว้ว่า “พลังใดก็ไม่อาจอยู่เหนือสัจธรรม” เขาจึงใช้ปัญญาไขปริศนาของสัญลักษณ์เวทย์ที่เคยพบมาก่อน แล้วพลิกมันกลับเพื่อผนึกพลังมืดแทนที่จะปลดปล่อย เขาใช้เลือดของตนเองเขียนสัญลักษณ์ใหม่บนพื้น จนเกิดเป็น “วงเวทย์สะท้อน” ที่ดูดซับพลังอสูรกลับคืนสู่ห้วงมิติเดิม อ๋องผู้ก่อการถูกแรงสะท้อนเล่นงานจนร่างสลายไปพร้อมวิญญาณที่เขาเชื่อมโยง ฉากนี้คือไคลแมกซ์ที่เต็มไปด้วยภาพเหนือจริง เงาอสูรกรีดร้องสะเทือนฟ้า ก่อนจะถูกกลืนหายลงสู่ความว่างเปล่า เมืองหลวงที่สั่นสะเทือนกลับคืนสู่ความสงบ

หลังเหตุการณ์จบสิ้นจักรพรรดินีอู่เจ๋อตี้ทรงขอบคุณตี๋เหรินเจี๋ยที่ช่วยกอบกู้ราชสำนักและชีวิตประชาชนเอาไว้ แต่เขากลับกล่าวเพียงว่า “ตราบใดที่ยังมีความโลภในใจมนุษย์ คำสาปย่อมไม่สิ้นสุด” แล้วขอลงจากตำแหน่งชั่วคราวเพื่อออกเดินทางค้นหาความจริงของโลก ซุ่นเอ๋อร์ที่บาดเจ็บได้รับการเยียวยา เธอเลือกอยู่ต่อที่วัง เพื่อช่วยเหลือราชสำนักในฐานะผู้คุ้มครองทางจิตวิญญาณ ทั้งคู่แยกจากกันด้วยรอยยิ้ม แม้ต่างรู้ว่าหนทางข้างหน้าจะยังเต็มไปด้วยความท้าทาย

รูปแบบสไตล์หนังเรื่อง The Descent Curse of Di Renjie (2025)

สไตล์หนังเรื่อง The Descent Curse of Di Renjie (2025) ใช้โทนมืดขรึม ผสมผสานความงดงามของราชวงศ์ถังเข้ากับบรรยากาศสยองลี้ลับ ฉากสุสานและพิธีเวทย์ดำถ่ายทอดด้วยงาน CGI ที่หนักแน่นและน่าขนลุกเป็นการผสมผสานระหว่างสืบสวน (detective mystery), แฟนตาซีเหนือธรรมชาติ, และ แอ็กชันสยองขวัญ คล้ายการผสม Sherlock Holmes กับ Detective Dee และกลิ่นอาย The Exorcist เข้มข้น ดราม่า สลับกับฉากลี้ลับที่ชวนให้ลุ้น มีทั้งฉากต่อสู้กำลังภายในและเวทย์มนตร์ที่ผสมเข้าด้วยกันอย่างกลมกลืน ตี๋เหรินเจี๋ยเป็นตัวแทนของ “ปัญญาและความยุติธรรม” ส่วนซุ่นเอ๋อร์คือ “ความศรัทธาและแสงสว่าง” ขณะที่อ๋องผู้ทรยศเป็นสัญลักษณ์ของ “ความโลภที่ทำให้มนุษย์ยอมขายวิญญาณให้ความมืด”

สรุปรีวิวหนัง The Descent Curse of Di Renjie (2025)

The Descent Curse of Di Renjie (2025) ตี๋เหรินเจี๋ยกับเวทย์ขจัดมาร ไม่ได้เป็นเพียงหนังสืบสวนลี้ลับธรรมดา แต่สะท้อนความจริงของมนุษย์ที่ไม่อาจหนีพ้นความทะเยอทะยานและความกลัว การเผชิญหน้ากับ “ปีศาจ” ไม่ได้หมายถึงการต่อสู้กับสิ่งลี้ลับภายนอกเท่านั้น แต่ยังเป็นการต่อสู้กับเงามืดในใจของมนุษย์เอง หนังเรื่องนี้จึงผสมผสานทั้งความบันเทิง แอ็กชัน เวทย์มนตร์ และข้อคิดเชิงปรัชญาออกมาได้อย่างลงตัว ใครที่ชอบหนังสืบสวนแนวแฟนตาซีจีนโบราณ ไม่ควรพลาด เพราะนี่คืออีกหนึ่งตำนานใหม่ของ ตี๋เหรินเจี๋ย ที่จะตราตรึงผู้ชมไปอีกนาน